กลับมาพบกันอีกครั้ง กับการขับรุท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ครั้งนี้เราได้ยานพาหนะคู่การเดินทางที่เพียบพร้อมไปด้วยสรรถนะ อย่าง ISUZU MU-X [The ONYX] และยังตอบโจทย์ในทุกๆ ด้าน จะพาไปที่ไหนกันดีหละ ก็นี่เลย จังหวัดการญจนบุรี โดยเราสองคนคิดกันไว้ว่า จะไปขับรถขึ้นไปเดินชมวิวแบบชิลล์ๆ ในช่วงแดดร่มลมตกกันที่ เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี
ระยะทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปยังทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ประมาณ 286 กิโลเมตร ระยะเวลาก็ประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ ครั้งนี้เราได้รถยนต์ ISUZU MU-X คันสีแดงสดใส สวยเลย ยิ่งเป็นช่วงที่แสงแดดส่งกระทบทั้งตัวรถด้วยแล้ว มันสดจนแสบตากันเลยทีเดียวเชียว การเดินทางในครั้งนี้ก็เป็นแบบไลฟ์สไตล์ ก็เดินทางกันในช่วงสายๆ ของวัน ก็แบบว่าขับและนั่งกันไปเรื่อยๆ เพลินๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก แหม! ก็เราสองคนมันเป็นนักท่องเที่ยวสายไลฟ์สไตล์นี่ครับ ว่ามั้ย?
รถ ISUZU MU-X เคลื่อนตัวผ่านทางเข้าทะลุเลยเข้าไปยังบริเวณด้านในสุดที่ใกล้ๆ กับร้านกาแฟ สีแดงของ ISUZU MU-X มันช่างสะดุดสำหรับผู้ที่พบเห็นเสียเหลือเกิน ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูโดดเด่น หรูหรา สวยงาม มีหรือใครที่เจอจะไมหันมามอง สวยจริงๆ ครับ เชื่อผม
ดับเครื่อง ลงจากรถ ปิดประตู และทำการล็อคเรียบร้อย เราสองคนก็เดินตรงปรี่ไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ ทางด้านซ้ายมือ เปิดประเข้าไปสัมผัสกับแอร์เย็นของร้าน เจอจังหวะลูกค้าว่างอยู่พอดี ผมเอ่ยปากสั่งกาแฟเย็นรสที่ชื่นชอบ ก็มี อเมริกาโน่เย็นไม่หวานหนึ่งแก้ว ส่วนของผมเป็น อเมริกาโน่ หวาน 0.5 แหม! ขอเติมความหวานนิดนึงนะ จริงๆ แล้วเตอมเพื่อหลอกสมองว่า เฮ้ย! นี่หวานแล้วนะแก 5555+
รับกาแฟเสร็จก็เดินไปนั่งจิบกาแฟทอดอารมณ์รับแอร์เย็นๆ ให้พอชุ่มฉ่ำก็พากันลุกและเดินออกจากร้ากาแฟเพื่อเดินทางกันต่อ โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ด้วยระยะทางเกือบๆ 300 กิโลเมตร
รถยนต์ ISUZU MU-X มาพร้อมกับเครื่องยนต์ ขนาด 3.0 Ddi Blue Power 177 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที มากับเทคโนโลยี่เปลี่ยนแปลงโลก ที่แรง แต่ประหยัดน้ำมันสุดๆ ที่สำคัญ ISUZU MU-X ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเอกสิทธิ์แห่งเทคโนโลยี่ดีเซลจาก ISUZU อีกด้วย
จากปั๊มน้ำมันที่แวะซื้อกาแฟ เราสองคนก็มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี โดยใช้ความเร็วอยู่ระหว่าง 80-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ขับกันไปเรื่อยๆ อยากแวะที่ไหนก็แวะ ว่างั้น รถยนต์ ISUZU MU-X ถือว่าตอบโจทย์ในการการใช้งานได้ดียอดเยี่ยมจริงๆ ห้องผู้โดยสารภายในโออ่า หรู กว้างขวาง เบาะนั่งสบายและรองรับกับสรีระของร่างกานได้ดี ภายในยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบเท่าที่จำเป็น
รถคันนี้มาพร้อมกับระบบบันเทิง ISUZU iConnect พร้อม Vuilt-in Navigator และ Digital TV Tuner โดยมีหน้าจอขนาดใหญ่ 8 นิ้ว พร้อม Air Mirroring รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับสมาร์ทโฟน พร้อมจุดเชื่อมต่อ USB รองรับได้ทั้งระบบ OIS, Android และเครื่องเล่น MP3 และ Flash Drive
การเดินทางในครั้งนี้ เราใช้การนำทางระบบ GPS จากตัวรถ จอมอนิเตอร์ใหญ่สะใจ อินเทอร์เฟสสวยงาม ทัชลื่นดีไม่ติดขัด ระบบ GPS นำทางค่อนข้างแม่ยำ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว และรถคันนี้ยังติดกล้องบันมึกทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังมาให้ด้วย โดยติดเอาไว้ที่กระจกมองหลังขนาดใหญ่ ที่มองเห็นได้ชัดเจน ดีงามเข้าไปอีก
ขับมาจนเข้าเขตไทรโยคก็พากันเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมันกันอีกครั้ง กาแฟอีกหละ แหม! ก็แก้วแรกมันหมดไปตั้งนานแล้วนี่ครับ ขับรถ ISUZU MU-X เพื่อเคลื่อนตัวเข้าไปจอดทางบริเวณใกล้ๆ กับร้านกาแฟและห้องน้ำของปั๊ม เดินไปเข้าห้องน้ำและจัดกาแฟอีกคนละแก้วกับรสชาติเดิมๆ พากันถือแก้วกาแฟมายืนแอ็คชั่นถ่ายรูปกับบั้นท้ายสวยๆ ของเจ้า ISUZU MU-X อีกสักหน่อย สร้างภาพกันสักครู่ก็พากันออกเดินทางกันต่อ คราวนี้ก็ขับกันยาวๆ ไปเลย จากปั๊มน้ำมันเพื่อมุ่งหน้าไปยังทองผาภูมิ ระยะทางที่เหลืออีกประมาณ 150 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางอีกแค่เกือบๆ 2 ชั่วโมงเอง ใกล้แล้วพวกเรา
เราสองคนเดินทางถึงที่อำเภอทองผาภูมิในช่วงเย็นๆ ของวัน โดยตกลงกันว่าจะนอนพักกันที่ทองผาภูมิหนึ่งคืน โดยเราเลือกพักกันที่ The Rabbit House ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับทองผาภูมินั่นเอง พอรุ่งเช้าของอีกวันค่อยออกเดินทางไปเที่ยวที่สันเขื่อนปราณกัน
เพราะที่นี่จะมีบรรยากาศแบบบ้านๆ คลาสสิค ซึ่งหาชมได้ยากกับบรรยากาศแบบนี้ และที่ทองผาภูมิยังมีร้านกาแฟร้านดังเสียด้วย ชื่อร้านกาแฟ “บ้านลูกไม้” งั้นก็ขอพักผ่อนเอาแรงกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยขับรถ ISUZU MU-X ไปนั่งจิบกาแฟชิลล์ๆ กัน
บรรยากาศในช่วงสายๆ ที่ทองผาภูมิมันช่างสดชื่นดีแท้ เป็นเพราะบรรยากาศที่รายล้อมเป็นภูเขาและแม่น้ำ ในเวลานี้ท้องฟ้าค่อนข้างเป็นใจ จะมีเมฆบ้างเป็นครั้งคราว เป็นการดีเลยที่เราจะเดินทางไปเที่ยวกัน ถ้าเกิดฝนตกขึ้นมาหละเป็นเรื่อง หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันที่โรงแรมแล้ว เวลาต่อจากนี้ก็มุ่งหน้าไปเติมคาเฟอีนกันต่อที่ร้านกาแฟบ้านลูกไม้ จากที่พักเพื่อไปนังร้านกาแฟ ระยะทางก็ไม่ไกล ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำ ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ไม่ถึง 15 นาที่ก็ถึง โดยที่จะต้องขับผ่านตลาดทองผาภูมิเพื่อไปแวะชมวิถีของชาวบ้านของที่นี่
รถคันสีแดง ISUZU MU-X ขับเลี้ยวซ้ายเข้าไปทางด้านซ้ายฝั่งคู่ขนานกับเส้นทางหลัก และเคลื่อนเข้าไปจอดอยู่ทางด้านหน้าฝั่งตรงข้ามกับร้านกาแฟบ้านลูกไม้ เราใช้เวลานั่งจิบกาแฟกับเมนูขนมปังที่ชื่อ “ปังเนย” อร่อยมากครับเมนูนี้ เชื่อผม กาแฟอเมริกาโน่เย็นก็รสชาติดี ได้กลิ่นหอมของกาแฟด้วย กาแฟที่นี่จะคั่วเข้ม เข้มกำลังดี ชอบเลย
สำหรับร้านกาแฟ “บ้านลูกไม้” เปิดมาได้หลายปีแล้ว เจ้าของเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ อัธยาศัยดีและเป็นกันเอง ที่ร้านจะตกแต่งแบบวินเทจ เน้นของแต่งแบบของเก่าย้อนยุค ซึ่งหาดูได้ยากแล้วในปัจจุบัน
ภายในร้านเนื้อที่ไม่ใหญ่มาก มีโต๊ะให้นั่งอยู่ 2-3 โต๊ะ ที่ผนังด้านข้างจะมีของตกแต่งใส่เอาไว้ ผมเหลือบสายตาไปสะดุดกับตุ๊กตาโดเรม่อนตัวใหญ่น้อยจำนวนมาก ซึ่งเจ้าของชอบเลยนำเอามาตกแต่งร้านเสียเลย
นอกจากเครื่องดื่มชนิดต่างๆ และขนมปังเชยแล้ว ที่ร้านยังมีมุมให้ได้ถ่ายรูปกันอีกมากมายกลายมุมเลยทีเดียว เราสองคนก็ไม่พลาดที่จะต้องสร้างภาพกัน ก็กดชัตเตอร์กันไปหลายสิบภาพเพื่อเป็นที่ะลึกกันเพลินเลย
ออกจากร้านกาแฟบ้านลูกไม้ช่วงบ่ายๆ ด้วยการกลับรถเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปเที่ยวยังสันเขื่อนปราณบุรี ไม่นานนักก็จะเจอกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ เราสอคนก็เลยแวะกราบสักการะขอพรกันเพื่อเเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตเสียด้วยเลย
พระพุทธรูปองค์นี้คือ พระ ภปร.กาญจนธรรมพิทักษ์ เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร ประดิษฐานโดดเด่นเป็ฯสง่าสวยงาม สร้างขึ้นโดยพระครูกาญจนประสิทธิ์ หรือหลวงพ่ออาบ ได้ร่วมกับชาวอำเภอทองผาภูมิ ช่วยกันบริจาคเงินก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2508
และต่อมา เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จมาทรงประกอบพระราชพิธีเบิกเนตร และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่พระเศียร
พร้อมยังได้ทรงปลูกต้นโพธิ์ที่ด้านหลังองค์พระ และทรงพระราชทานพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระ ภปร.ทองผาภูมิ กาญจนธรรมพิทักษ์” ซึ่งนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงแก่ชาวทองผาภูมิ และยังเป็นมิ่งขวัญแก่ปวงชนชาวไทยทุกคนอีกด้วย
ออกจากวัดทองผาภูมิก็เดินทางกันเพื่อไปเที่ยวกันที่ “เขื่อนวชิราลงกร” ระยะทางประมาณ 6-7 กิโลเมตรเท่านั้นเอง สองข้างทางที่ขับไปดูเขียวชะอุ่มและสดชื่นดี นั่งรถกันเพลินๆ ถนนโล่ง ขับสบายๆ ด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ท้องฟ้าโปร่งโล่งเป็นใจ ก็ขอภาวนาอย่าให้ฝนตกลงมาก็แล้วกัน กลัวจะเสียเที่ยวและไม่ได้ถ่ายรูปกัน อันหลังนี่แหละสำคัญ 5555+
การขับขึ้นไปยังบริเวณสันเขื่อนที่อยู่สูง รถ ISUZU MU-X คันนี้เอาอยู่แบบสบายๆ กับทางลาดชันแบบนี้ ด้วยขุมพละกำลังที่เหลือเฟือ จึงทำให้รถขับเคลื่อนขึ้นสู่บริเวณสันเขื่อนได้อย่างนุ่มนวลและง่ายดาย
พอขึ้นไปสูยังบริเวณด้านบนของเขื่อนวชิราลงกรณ์แล้ว เราก็แวะจอดรถทางด้านขวามือที่ติดกับขอบปูนที่เป็นแนวสันเขื่อน ดับเครื่องยนต์ เปิดประตูลงมาเพื่อทำการสร้างภาพกัน ที่บริเวณนี้จะมุมให้นักท่องเที่ยวได้สร้างภาพเช็คอินกัยสถานที่ด้วย โดยที่ด้านซ้ายมือที่อยู่ใกล้ๆ กับภูเขาจะมีป้ายชื่อของ” “เขื่อนวชิรลงกร” ขนาดใหญ่พอประมาณ ถัดไปทางด้านซ้ายมือตรงบริเรทางขึ้นมา จะมีซุ้มและสวนหย่อมของดอกไม้ขนาดย่อมๆ สวยงาม เราสอคนก็เลยไม่พลาดที่จะเดินไปทำการสร้างภาพกับซุ้มเสียด้วยเลย แหม! ก็มาเที่ยวก็ต้องถ่ายรูปกับสถานที่สิครับ ว่ามั้ย?
เขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือชื่อเดิมที่เรียกว่า เขื่อนเขาแหลม เป็นเขื่อนหินถมดาดคอนกรีตแห่งแรกของไทย สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นแม่น้ำแควน้อย โดยสร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2527 สันเขื่อนสูงจากฐาน 92 เมตร ยาว 1,019 เมตร มีพื้นที่กักเก็บน้ำ ประมาณ 388 ตารางกิโลเมตร สามารถจุน้ำได้ถึง 8,860 ล้านลูกบาศก์เมตร และยังมีการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าถึง 3 เครื่องด้วยกัน
ที่สันเขื่อนวชิราลงกรณ นักท่องเที่ยวสามารถที่จะขับรถหรือเดินเล่นบริเวณสันเขื่อนโดยไม่ต้องเสียเงิน แต่สำหรับรถยนต์จะห้ามไม่ให้จอดที่บริเวณของสันเขื่อน นักท่องเที่ยวจะต้องจอดรถในสถานที่ที่กำหนดให้เท่านั้น
น้ำในเขื่อนค่อนข้างมากในเวลานี้ มองไปไกลลิบๆ ตา จะเห็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่เป็นระยะๆ ระลอกคลื่นที่เกิดจากเรือของชาวบ้านพัดกระจายตัวเข้าหาฝั่งอย่างสวยงาม เสียงสัตว์น้อยใหญ่รวมไปถึงเสียงของนกดังคลอเคล้าเป็นจังหวะ เราสองคนขับรถไปตามแนวของสันเขื่อนเพื่อไปสร้างภาพอีกด้านหนึ่ง ระยะทางบริเวณสันเขื่อนจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งกิโลเมตร ขับรถชมวิวเพลินๆ กันไปจนสุดทางของอีกฝั่ง จอดรถแอบข้างๆ ราวเหล็กฝั่งขวามือแล้วลงมาเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบๆ บริเวณของเขื่อน แสงแดดในยามนี้ช่างเป็นใจเสียเหลือเกิน ร้อนก็ร้อน รูปก็อยากได้ แหม! ร้อนแค่นี้เราสองคนสู้อยู่แล้วเพื่อการได้มาซึ่งรูปถ่าย 5555+
ภาพที่เราสองคนถ่ายคูกับรถ ISUZU MU-X คันสีแดงสวย ภาพมันช่างโดเด่นขึ้นตาดีจริงๆ นี่ถ้าเป็นสีดำหรือสีอื่นๆ ผมว่าคงไม่สวยเท่าสีแดงนี้แน่ๆ เชื่อสิ แถมตรงบริเวณนี้ยังมีธงชาติไทยที่ปลิวไสวในยามที่ลมพัดผ่านอีกด้วย ภาพที่ได้มันเลยคล้ายๆ กับเราประสบกับความสำเร็จกับการที่ได้ขึ้นมาถึงจุดที่สูงสุดของชีวิต เฮ้ย! ไม่นะ มันคือจุดสูงสุดของสันเขื่อนต่างหาก เพ้อๆ และจินตนาการเรื่องราวเอาเองไง 5555+
เราสองคนใช้เวลาเดินและนั่งชมวิวทิวทัศน์ที่บริเวณสันเขื่อนอยู่ร่วมๆ ชั่วโมงได้ ก็อยากอยู่นานๆ ให้สมกับที่เสียเวลาที่ดั้นด้นขับรถกันมาจากกรุงเทพฯ เพื่อการนี้โดยเฉพาะ จะอยู่แค่ 3นาที 5 นาที มันคงไม่ใช่เราสองคนนะ อยู่จนกระทั่งแดดเริ่มอ่อนกำลังลง
จากที่อากาศร้อนๆ ตอนนี้ก็เพียงแค่อุ่นๆ และมีลมเย็นๆ พัดผ่านมาประทะอยู่บ้างเป็นระยะๆ จริงๆ ที่เขื่อนวชิราลงกรณ ถือเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะมาชมพระอาทิตย์ตกกันด้วย แต่ด้วยเวลานี้บรรยากาศไม่เป็นใจ ท้องฟ้าฝั่งตะวันตกดูขมุกขมัวแปลกๆ ก็เลยไม่สามารถที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ตก ได้ แต่ก็ถือว่าคุ่มค่ากับการที่ได้ขับรถมาเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์กันที่นี่ อิ่มเอมและสุขใจที่ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันสวยงามที่บริเวณเขื่อนวชิราลงกรณ ทริปนี้ก็ถือว่า “คุ้มค่าจริงๆ “ บอกเลย
ขอขอบคุณ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ SUZU MU-X [The ONYX] สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวชิลล์ๆ ในครั้งนี้