Saturday, January 18, 2025
spot_img
HomeMotoringเมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 30 ปี ในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลกใน Silicon Valley

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 30 ปี ในฐานะผู้บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลกใน Silicon Valley

  • เมอร์เซเดส-เบนซ์ ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ก่อตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D Center) ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. มีผลงานที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดยมีสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งมอบให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบริษัทในเครือ
  • ปัจจุบันมีทีมงานในศูนย์ฯ กว่า 600 คน กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์จำนวน 6 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้นที่สุดจากทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก

ซันนีเวล, แคลิฟอร์เนีย – บริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. (MBRDNA) เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ดำเนินงานภายใต้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ได้ฉลองครบรอบ 30 ปี แห่งความสำเร็จในด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก โดยศูนย์ฯ แห่งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการบุกเบิกเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมหลากหลายด้าน อาทิ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ให้บริการระบบ Music Navigation รองรับการใช้งาน iPod อย่างเต็มรูปแบบ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมจากเยอรมนีรายแรกที่นำระบบอินโฟเทนเมนต์ “CarPlay” ของ Apple เข้ามาใช้ในรถยนต์ และการเป็นผู้ผลิตรายแรกในสหรัฐฯ ที่เปิดตัวฟังก์ชัน Google “Send-to-Car” ในรถยนต์ รวมถึงครั้งล่าสุดกับการผสาน ChatGPT เข้ากับระบบ MBUX ในรถยนต์บางรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ขับเคลื่อนวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง

Ola Källenius ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “นวัตกรรม คือหัวใจสำคัญที่อยู่ในดีเอ็นเอของเรา ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในการผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเข้ากับความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ความสำเร็จนี้จึงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นและพยายามของทีมงาน ทำให้เราพร้อมก้าวสู่ปี 2568 และปีต่อๆ ไป อย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์รุ่น CLA และ MB.OS ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ คือข้อพิสูจน์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของเรา”

ศูนย์วิจัยและพัฒนา MBRDNAก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ด้วยพันธกิจในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ จากจุดเริ่มต้นที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและไมโครอิเล็กทรอนิกส์ MBRDNA ได้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม โดยผสานความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจากเยอรมนีเข้ากับวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ได้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ MBRDNA ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะในด้านการขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving), ประสบการณ์ AI, ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (E-Drive) และการออกแบบภายนอกขั้นสูง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ตั้งอยู่ใน 6 พื้นที่ยุทธศาสตร์ทั่วอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เมืองแอนน์อาร์เบอร์ (Ann Arbor) และฟาร์มิงตันฮิลส์ (Farmington Hills) ในรัฐมิชิแกน ไปจนถึงเมืองซีแอตเทิล (Seattle) ในรัฐวอชิงตัน และอีกสามแห่งในแคลิฟอร์เนีย ได้แก่ เมืองซันนีเวล (Sunnyvale) ลองบีช (Long Beach) และคาร์ลสแบด (Carlsbad) โดยมีทีมงานกว่า 600 คนที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในการสานต่อมรดกแห่งความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งการฉลองครบรอบ 30 ปีในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ MBRDNA ในการสร้างสรรค์และออกแบบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ

Markus Schäfer คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า “เครือข่ายวิจัยและพัฒนาระดับโลกของเรา มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก โดยในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลและการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรม ซึ่ง MBRDNA มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงระบบนิเวศอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ ทั้งจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ สตาร์ทอัพ และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก สิ่งเหล่านี้ช่วยผลักดันให้เราค้นหาแนวทางใหม่ ๆ ที่ AI จะสามารถช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การขับขี่อัตโนมัติ ไปจนถึงการปรับแต่งประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในทุกมิติ”

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA ได้สร้างสรรค์ผลงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมาย จนได้รับสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตรที่อยู่ในความครอบครองของ Daimler Trucks North America โดยหนึ่งในผลงานสำคัญคือการพัฒนาและรับรองระบบ Mercedes-Benz DRIVE PILOT ซึ่งเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติแบบ SAE-Level 3[1]  ระบบแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลในสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ MBRDNA ยังได้ยกระดับแนวคิดระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ด้วยหลักการออกแบบที่เน้นความเข้าใจและตอบสนองผู้ใช้งาน โดยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น ฟีเจอร์ “Zero-Layer” และ “Routines” ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานและสามารถปรับการตั้งค่าความสะดวกสบายได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งระบบ MBUX Voice Assistant ยังได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการผสาน ChatGPT และ GPT-4o ซึ่งช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง โดยจะเริ่มตั้งแต่รถยนต์รุ่น CLA ที่จะเปิดตัวในปี 2568 นอกจากนี้ ระบบ MBUX Virtual Assistant จะรวมฟีเจอร์ Gemini on Google Cloud และข้อมูลจาก Google Places เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์การค้นหาสถานที่ด้วยการสนทนาให้ดียิ่งขึ้น


[1] SAE Level 3: ฟังก์ชันการขับขี่อัตโนมัติจะเข้ามาทำหน้าที่ในการควบคุมการขับขี่บางอย่าง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีผู้ขับขี่อยู่ในรถ ผู้ขับขี่ต้องพร้อมที่จะควบคุมรถทันทีเมื่อระบบแจ้งเตือนให้แทรกแซงการขับขี่

RELATED ARTICLES
spot_img
spot_img
spot_img

Most Popular